16 กรกฎาคม 2024

8 วิธีรับมือกับ ภาวะหมดไฟ ในการทำงาน หายนะเงียบที่ไม่ควรมองข้าม
ปัจจุบันการทำงานมีการแข่งขันสูง หลายคนทุ่มเทแรงกายแรงใจให้กับหน้าที่การงานจนละเลยสุขภาพกายและใจ ส่งผลให้เกิดภาวะ “หมดไฟ” หรือ “Burnout Syndrome” ซึ่งถือเป็นเหมือนหายนะเงียบที่ค่อยๆ กัดกินพลังงาน ความสุข และประสิทธิภาพการทำงานของเรา ภาวะหมดไฟ แบ่งออกเป็น 3 ด้านหลัก ดังนี้
1.อาการทางอารมณ์
ภาวะหมดไฟมัก รู้สึกเครียด เหนื่อยล้า อ่อนแรง ไม่สดชื่น ไม่มีความกระตือรือร้น รู้สึกเศร้า ท้อแท้ สิ้นหวัง หดหู่ หงุดหงิดง่าย โกรธง่าย เพิกเฉย ไม่พอใจในงานที่ทำ รู้สึกไม่มีความสุขในการทำงาน ไม่มีเป้าหมายในการทำงาน ไม่อยากมาทำงาน อยากลาออกจากงาน
2.อาการทางความคิด
มองโลกในแง่ลบ คิดอะไรไม่ออก ขาดความมั่นใจ รู้สึกไร้ค่า ไร้ความสามารถ รู้สึกไม่ประสบความสำเร็จในการทำงาน รู้สึกล้มเหลว ตัดสินใจผิดพลาดบ่อยครั้ง มีปัญหาในการจดจ่อ มีปัญหาในการจดจำ
3.อาการทางร่างกาย
นอนไม่หลับ ปวดศีรษะ ปวดท้อง อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ใจสั่น เหงื่อออก ปวดเมื่อยตามร่างกาย ป่วยง่าย
นอกจากนี้ ยังมีอาการทางพฤติกรรม เช่น ละเลยการดูแลตัวเอง สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ ใช้สารเสพติด เล่นพนัน หรือ อาการทางสังคม เช่น เก็บตัว แยกตัวจากสังคม ไม่อยากพบปะผู้คน
หากใครกำลังเผชิญกับอาการเหล่านี้ แสดงว่ากำลังเข้าข่าย ภาวะหมดไฟ ซึ่งหากปล่อยไว้โดยไม่รีบหาวิธีแก้ไข อาจส่งผลร้ายแรงต่อสุขภาพกายและใจ รวมไปถึงความสัมพันธ์ในชีวิตส่วนตัว ดังนั้น วันนี้ FDI Recruitment ของเราจึงมี 8 วิธีรับมือกับภาวะหมดไฟมาฝากกันค่ะ
1.ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทำงาน
- จัดตารางเวลาการทำงานให้ชัดเจน: กำหนดเวลาเริ่มงาน เวลาพักทานอาหาร เวลาเลิกงาน และเวลาพักผ่อนให้ชัดเจน พยายามปฏิบัติตามตารางเวลาอย่างเคร่งครัด หลีกเลี่ยงการทำงานล่วงเวลาโดยไม่จำเป็น
- แบ่งเวลาทำงานและพักผ่อนให้สมดุล: ควรทำงานไม่เกิน 8 ชั่วโมงต่อวัน พักทานอาหารกลางวันอย่างน้อย 30 นาที ลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายทุกๆ 1 ชั่วโมง และพักผ่อนให้เพียงพอ 7-8 ชั่วโมงต่อคืน
- ลางานพักร้อนบ้าง: การลางานพักร้อนเป็นการพักผ่อนร่างกายและจิตใจ ช่วยให้กลับมามีพลังงานและมีสมาธิในการทำงานมากขึ้น
- ฝึกปฏิเสธงานที่ไม่จำเป็น: กล้าที่จะปฏิเสธงานที่ไม่จำเป็น หรือมอบหมายงานให้ผู้อื่นทำแทน
- เรียนรู้ที่จะแบ่งงานให้ผู้อื่น: หากมีงานเยอะ ควรแบ่งงานให้เพื่อนร่วมงานหรือลูกน้องช่วยทำ เพื่อลดภาระงานของตัวเอง
2.ดูแลสุขภาพกาย
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ: การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ช่วยให้ร่างกายและจิตใจได้ซ่อมแซมตัวเอง ส่งผลดีต่อสุขภาพทั้งกายและใจ
- ทานอาหารที่มีประโยชน์: ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นผักผลไม้ หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง อาหารหวาน และอาหารแปรรูป
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: การออกกำลังกายช่วยลดความเครียด เพิ่มพลังงาน และส่งผลดีต่อสุขภาพโดยรวม
- งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์: การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ ส่งผลเสียต่อสุขภาพทั้งกายและใจ ควรหลีกเลี่ยง
3.ดูแลสุขภาพจิต
- หากิจกรรมผ่อนคลายทำ: หากิจกรรมที่ชอบทำเพื่อผ่อนคลายความเครียด เช่น ฟังเพลง อ่านหนังสือ ดูหนัง ฝึกสมาธิ โยคะ
- พูดคุยกับเพื่อน ครอบครัว หรือผู้เชี่ยวชาญ: การพูดคุยกับคนที่คุณไว้ใจ ช่วยให้รู้สึกดีขึ้น คลายความเครียด และได้คำแนะนำ
- หางานอดิเรกทำ: การหางานอดิเรกทำ ช่วยให้มีกิจกรรมอื่นๆ ทำนอกเหนือจากงาน ช่วยให้ผ่อนคลายความเครียด และมีความสุขมากขึ้น
- ใช้เวลากับคนที่คุณรัก: การใช้เวลากับคนที่คุณรัก ช่วยให้รู้สึกอบอุ่นใจ ผ่อนคลาย และมีความสุข
4.ปรับเปลี่ยนมุมมอง
- มองหาแง่ดีของงาน: พยายามมองหาแง่ดีของงาน แม้ว่างานนั้นจะยากลำบากหรือท้าทาย
- ตั้งเป้าหมายการทำงานที่ท้าทาย: การตั้งเป้าหมายการทำงานที่ท้าทาย ช่วยให้มีแรงจูงใจในการทำงาน และรู้สึกภูมิใจเมื่อบรรลุเป้าหมาย
- มองงานเป็นโอกาสในการเรียนรู้: มองงานเป็นโอกาสในการเรียนรู้ พัฒนาทักษะ และประสบการณ์
- ภูมิใจในผลงานของตัวเอง: เมื่อทำงานเสร็จ ให้ลองมองย้อนกลับไปดูผลงานของตัวเอง และรู้สึกภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองทำ
5.สื่อสารกับหัวหน้างาน
- พูดคุยกับหัวหน้างานเกี่ยวกับปัญหาที่คุณกำลังเผชิญ: บอกหัวหน้างานเกี่ยวกับปัญหาที่คุณกำลังเผชิญ เช่น งานเยอะ งานหนัก เครียด ฯลฯ
- ขอคำแนะนำและความช่วยเหลือ: ขอคำแนะนำและความช่วยเหลือจากหัวหน้างาน
- เสนอแนะแนวทางแก้ไข: เสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหาให้กับหัวหน้างาน เช่น ขอแบ่งงาน ขอเพิ่มคนช่วย ขอปรับเวลาทำงาน ฯลฯ
6.ปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมการทำงาน
- จัดโต๊ะทำงานให้เป็นระเบียบ: จัดโต๊ะทำงานให้เป็นระเบียบ สะอาด เรียบร้อย ช่วยให้รู้สึกสบายใจ ทำงานได้มีประสิทธิภาพ
- หาแสงสว่างที่เหมาะสม: หาแสงสว่างที่เหมาะสม ไม่สว่างหรือมืดจนเกินไป ช่วยถนอมสายตา และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- เปิดเพลงบรรเลงคลายเครียด: เปิดเพลงบรรเลงคลายเครียด เช่น เพลงธรรมชาติ เพลงคลาสสิก ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย ลดความเครียด
- ปลูกต้นไม้บนโต๊ะทำงาน: ปลูกต้นไม้บนโต๊ะทำงาน ช่วยให้รู้สึกสดชื่น ผ่อนคลาย และลดความเครียด
7.หากิจกรรมที่ชอบทำนอกเหนือจากงาน
- หากิจกรรมที่ชอบทำในเวลาว่าง: หากิจกรรมที่ชอบทำในเวลาว่าง เช่น เล่นกีฬา ดูหนัง ฟังเพลง อ่านหนังสือ ท่องเที่ยว ฯลฯ ช่วยให้ผ่อนคลายความเครียด และมีความสุข
- ใช้เวลากับครอบครัวและเพื่อนฝูง: ใช้เวลากับครอบครัวและเพื่อนฝูง ช่วยให้รู้สึกอบอุ่นใจ ผ่อนคลาย และมีความสุข
- เดินทางท่องเที่ยว: การเดินทางท่องเที่ยว ช่วยให้เปลี่ยนบรรยากาศ เปิดประสบการณ์ใหม่ และผ่อนคลายความเครียด
- เรียนรู้ทักษะใหม่ๆ: เรียนรู้ทักษะใหม่ๆ เช่น เรียนภาษา เรียนดนตรี เรียนวาดรูป ฯลฯ ช่วยให้รู้สึกท้าทาย พัฒนาทักษะ และมีความสุข
8.ขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ
- หากคุณรู้สึกว่าไม่สามารถรับมือกับภาวะหมดไฟได้ด้วยตัวเอง: ควรรีบปรึกษาแพทย์หรือนักจิตวิทยา เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง
- แพทย์หรือนักจิตวิทยาจะ: ประเมินอาการ ให้คำปรึกษา แนะนำแนวทางการรักษา เช่น การบำบัด การทานยา ฯลฯ
ภาวะหมดไฟ เป็นปัญหาที่สามารถแก้ไขได้ หากเริ่มต้นดูแลตัวเองทั้งร่างกายและจิตใจ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทำงาน และมองหาแง่ดีในชีวิตจะสามารถกลับมามีพลังงาน มีความสุข และทำงานอย่างมีประสิทธิภาพได้อีกครั้งนึงอย่างแน่นอน
FDI Recruitment
📧 E-mail : infojob@fdirecruit.co.th
🔎 Line@ : @jobfdi (https://line.me/R/ti/p/%40jobfdi)
📞 Phone : 02 642 6866
🌐 www.fdirecrit.co.th